หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Frederick Fennell & Eastman Wind Ensemble : British Band Classics Vol.2 / LP

ALBUM British Band Classics Vol.2
ARTIST Frederick Fennell, conductor Eastman Wind Ensemble
LABEL Speakers Corner
SONG:  10  SOUND:  8+

ฟอร์แม็ต LP/180gm/33rpm
ระบบเสียง Pure Analog stereo 2 ch
ระบบภาพ -
ปีที่ออก 2005 / Febuary
เบอร์แผ่น SR90197
แนวเพลง Classic
สไตล์ March, Overture, Fanfare
จำนวนแทรค 8 (A = 6, B = 2)
เวลา -
ผลิต Germany



ยุคที่ประเทศอังกฤษรุ่งเรือง ความเฟื่องฟูมิได้เกิดเฉพาะในด้านของประเทศและประชากร แม้แต่ทางด้านดนตรีก็ได้รับผลจากความเฟื่องฟูของราชอาณาจักรในยุคนั้นมาด้วย ยุคที่ศิลปะการดนตรีในอังกฤษรุ่งเรืองที่สุดน่าจะเริ่มต้นช่วงก่อนศตวรรษที่ 17 หากโฟกัสลงไปที่บุคคลก็น่าจะเป็นช่วงที่ William Byrd (1542-1623) กำลังรุ่ง ซึ่งเขาเป็นนักแต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์สูงมาก เบิร์ดเป็นนักดนตรีประเภทคีบอร์ด (organist) อยู่ด้วยในขณะที่เขาแต่งเพลง งานเพลงที่เขาแต่งเอาไว้จำนวนมากปัจจุบันได้ถูกนำไปเก็บรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์ทางดนตรีในเมืองเคมบริดจ์ ในประเทศอังกฤษ โดยจารึกรวมกันไว้ในบัญชีของสะสมที่ชื่อว่า Fitzwilliam Virginal Book

Gordon Jacob
Gordon Jacob (1895-1984) นักแต่งเพลงชาวอังกฤษรุ่นหลังจาก Byrd เป็นคนนำเอาเพลงของเบิร์ดที่แต่งเอาไว้มาเรียบเรียงใหม่เนื่องในวโรกาสแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 300 ปีของการเสียชีวิตของ William Byrd โดยเลือกมาจากบัญชี Fitzwilliam Virginal Book จำนวน 6 เพลง เริ่มด้วย The Earle of Oxford’s Marche ซึ่งจะเห็นว่า เพลงมาร์ชสมัยโบราณนั้นไม่ได้เน้นความหนักหน่วงของเพอร์คัสชั่นและความขึงขังมลังเมลืองของเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองที่แผดสนั่นเพียงอย่างเดียว แต่จะมีความอ่อนช้อยของท่วงทำนองเข้ามาประกอบอยู่ด้วย ฟังทำนองของท่อนอินโทรตอนต้นเพลงของแทรคนี้ดูซิ.. มันช่างไพเราะเหมือนเพลงรักกระนั้นเลย แล้วจึงค่อยมาโหมกระหน่ำแสดงศักยภาพกันในท่อนหลังของเพลง หรืออย่างเพลงที่สอง Pavana นั้นก็เป็นเพลงช้าที่มีลีลาอ่อนโยน ส่วนเพลงที่สาม Jhon Come Kisse Me Now นั้นจะเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองสนุก เพลงนี้ภาคดนตรีเพอร์คัสชั่นทำงานเยอะหน่อย แต่ไม่ถึงกับโหมกระหน่ำ ทำนองสวยมาก เพลงต่อมา The Mayden’s Song นั้นจะออกมาร์ชมากหน่อย โทนของเพลงจะมีความโอ่อ่ามากขึ้นด้วยเสียงของเครื่องเป่าทองเหลืองครบทีมผสานกับเสียงกลองสแนร์ที่ตีปลุกรุกเร้าควบคู่กันไป สองเพลงสุดท้ายคือ Wolsey’s Wilde กับ The Bells นั้นจะเป็นเพลงที่มีลีลาท่วงทำนองอยู่ในระดับช้าถึงปานกลาง โดยที่เพลง Wolsey’s Wilde นั้นจะเน้นเสียงเครื่องเป่าลิ้นเดี่ยวและไม่มีลิ้น (คลาริเน็ตและฟรุ๊ท) เป็นต้นเสียง โทนของเสียงจึงออกมาทางพริ้วไสว เจื้อยแจ้วเหมือนเสียงนกร้อง ส่วนเพลงสุดท้าย The Bells นั้นจะได้อารมณ์ของความลึกลับและยิ่งใหญ่ผสมกันไป เพราะในแทรคนี้จะมีเสียงระฆังจริงปรากฏอยู่ด้วยในช่วงท้ายของเพลง

ทั้งหมดนั้นได้ถูกบรรจุอยู่ในหน้าแรก (หน้า A) ของแผ่นเสียงชุดนี้ ซึ่งแต่ละเพลงมีความยาวไม่มากนัก และสิ่งที่ได้ยินทั้งหมดนั้นแม้ว่าจะมาจากเค้าโครงของ William Byrd แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ภาพลักษณ์ส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการสร้างสรรของ Gordon Jacob ด้วย เพราะในยุคที่ Byrd แต่งเพลงอยู่นั้นย่อมมีข้อจำกัดในแง่ของเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงซึ่งยังไม่พัฒนามากเหมือนในยุคของ Jacob เอง เครื่องดนตรีหลักที่ Byrd ใช้ในการแต่งเพลงนั้นก็คือฮาร์พซิคอร์ดเพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เขาเล่นอยู่ อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าแนวเพลงของอังกฤษในยุคก่อนศตวรรษที่ 17 นั้นจะให้ความสำคัญกับทำนองที่สละสลวย แม้จะเป็นประเภทของเพลงที่ระบุชัดว่า march หรือเพลงปลุกใจเพื่อใช้ในการสวนสนามของทหาร แต่ก็ยังไม่วายมีอินโทรฯ ที่ไพเราะเสนาะหูเข้ามาแจมอยู่ด้วย อีกนัยหนึ่งนั่นอาจจะสะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงยุคที่ Byrd มีชีวิตอยู่นั้น ประเทศอังกฤษกำลังรุ่งเรือง มีกำลังแข็งแกร่ง ปราศจากการทำศึกปกป้องประเทศ เพลงปลุกใจในยุคนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นความฮึกเหิมมากนัก
  
งานทั้ง 6 ชิ้นของ William Byrd ภายใต้จินตนาการของ Gordon Jacob ในแผ่นเสียงชุดนี้ คือครั้งแรกที่งานเหล่านั้นได้ถูกนำมาบันทึกเสียง ก่อนที่จะถูกนำไปบรรเลงโดยวงเครื่องเป่า (Wind Band) อื่นๆ ในยุคต่อมา

ส่วนหน้าที่สองนั้นมีอยู่ 2 เพลง เป็นงานของ Gustav Holst ชื่อว่า Hammersmith : Prelude and Scherzo (แทรคแรก) ซึ่งเป็นผลงานการแต่งลำดับที่ 52 ของเขาที่แต่งให้ทางกองทัพอังกฤษ กับอีกเพลงหนึ่งชื่อว่า Crown Imperial : A Coronation March (แทรคที่สอง) เป็นงานเพลงที่ William Walton นักแต่งเพลงอีกคนหนึ่งของอังกฤษได้รับมอบหมายให้แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าจอร์จที่หก เมื่อปี 1937 ทั้งสองเพลงนี้มีความยาวมากกว่าเพลงของ Byrd มาก และหากพิจารณาองค์ประกอบของดนตรีแล้วจะเห็นว่าเพลงของ Holst กับ Walton จะมีความซับซ้อนของภาคดนตรีสูงกว่า และมีวาริเอชั่นของโทนคัลเลอร์ของเสียงดนตรีมากกว่า เพราะเป็นเพลงที่แต่งขึ้นในยุคที่เครื่องดนตรีมีการพัฒนาขึ้นมามากแล้ว ซึ่งทำให้คีตะกวีทั้งสองมีวัตถุดิบ (บุคลิกเสียง) ในการแต่งเพลงให้เลือกใช้มากขึ้น

Frederick Fennell ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งคอนดักเตอร์และคนเขียนคำนิยมหลังปกแผ่นเสียงชุดนี้ได้กล่าวชื่นชมงานประพันธ์ของ Holst ชิ้นนี้เอาไว้สูงมาก ซึ่งหากคุณได้ฟังแล้วจะเห็นได้ถึงอัจฉริยภาพทางดนตรีที่ลึกล้ำของโฮส์ล ในการแต่งเพลงนี้ เขาได้จัดแบ่งเพลงออกเป็นองค์ประกอบย่อยๆ จำนวนมาก มีการแบ่งท่อนทำนองออกเป็นหลายมูพเม้นต์โดยไม่มีการหยุดคั่น แต่ใช้วิธีบรรเลงร้อยต่อสลับกันไปจนจบ ทำให้อารมณ์ของเพลงมีการเคลื่อนไหวไปตลอด ในอึดใจขณะที่อารมณ์ของเพลงกำลังดำดิ่งวูบลงต่ำด้วยลีลาการบรรเลงที่เชื่องช้าและอ้อยสร้อย แต่ในบัดดลก็กลับกระชากโหนขึ้นสู่ความคึกคักอลังการอีกครั้งด้วยลีลาการบรรเลงของเครื่องสายและเพอร์คัสชั่นที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟังเพลงของ Holst เพลงนี้แล้วให้หวนนึกถึงเพลงแนวโปรเกรสซีฟ ร็อคระดับพระกาฬอย่าง Closer To Home ของ Grand Funk Railroad กับ Stairway to Heaven ของ Led Zepplin ขึ้นมาตะหงิดๆ



ส่วนเพลง Crown Imperial : A Coronation March ของวอลตันนั้นลีลาจะค่อนไปทางเชื่องช้า ออกสไตล์ลึกลับหน่อยๆ แต่ก็มีสลับกับตึงตังบ้างนิดนึง ซึ่งในแง่ของความเร้าใจแล้วจะสู้เพลงของ Holst ไม่ได้ ซึ่ง Fennel ได้ให้ข้อมูลเบื้องหลังการบันทึกเสียงงานชิ้นนี้เอาไว้ตอนท้ายว่า งานเรียบเรียงดนตรีลักษณะที่วอลตันทำเอาไว้ในเพลง Crown Imperial นั้นต้องการเรโซแนนซ์ของฮอลล์ที่ใช้บรรเลงเข้ามาช่วยเสริม เพราะวอลตันเน้นใช้เสียงของโน้ตแค่สองถึงสามตัวที่ลากยาวไปเรื่อยๆ ปูเป็นพื้น ซึ่งฮอลล์ที่มีเรโซแนนซ์มากหน่อยจะทำให้เสียงเครื่องเป่าฟังดูมีพลังและมีไวรเบรชั่นที่ก้องยาวเหมือนกับความต้องการของวอลตันที่จินตนาการเอาไว้ในเพลงนี้ ในการบันทึกเสียงครั้งนี้ Wilma Cozart Fine กับทีมวิศวกรของ Mercury ได้เลือกเอาโรงภาพยนตร์ Eastman Theatre ในกรุงนิวยอร์คเป็นที่สำหรับบันทึกเสียง โดยได้ทำการรื้อพื้นเวทีของโรงละครแห่งนี้ออกแล้วสร้างเวทีขึ้นใหม่เพื่อให้นักดนตรีทั้ง 45 คนบรรเลงอยู่บนพื้นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อควบคุมเรโซแนนซ์ของเวทีให้อยู่ในย่านความถี่แคบๆ เพียงย่านเดียว เพื่อไม่ให้ไปรบกวนเสียงสะท้อนกังวานของฮอลล์ ซึ่งหากฟังตั้งแต่ตอนขึ้นต้นคุณจะได้ยินเรโซแนนซ์ของเสียงเครื่องเป่าโทนต่ำๆ อย่างพวกเฟรนฮอร์นและทูบ้าที่ผสมกับเสียงกำธรของโรงละครเข้ามาด้วย ก่อให้เกิดเป็นสนามเสียงที่โอ่โถง มีซาวนด์สเตจที่ลึกแผ่เข้าไปทางด้านหลังของระนาบลำโพงอย่างชัดเจน และเมื่อมีเสียงฟรุ๊ท (หรืออาจจะเป็นเรคคอร์เดอร์) กับเสียงทรัมเป็ตซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูงดังขึ้นมามันก็จะลอยเหนือเสียงเครื่องเป่าโทนต่ำเหล่านั้นออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งสภาพการเซ็ตอัพลักษณะนี้จะทำให้เสียงกลางและแหลมลอยตัวดีและมีไดนามิกเร้นจ์ที่กว้าง แต่เสียงทุ้มจะไม่เปิดนัก สังเกตได้จากเสียงกลองใหญ่ที่ออกอาการห้วน เก็บตัวเร็ว หัวเสียงไม่คมและฐานเสียง (หางเสียง) ก็ไม่แผ่ออกมา (ถ้ามีการทำเป็นแผ่น SACD แบบ 3-ch ออกมาน่าจะมีอะไรดีกว่านี้)

งานของ Walton ชิ้นนี้ใช้ไมโครโฟนในการบันทึกเสียงถึง 3 ตัว เป็นแบบรับเสียงรอบตัว (omni-directional ของ Telefunken รุ่น U-47) เพื่อจัดปริมาณของเสียงจากวงดนตรีที่บรรเลงกับเสียงก้องสะท้อนของฮอลล์ที่ใช้บันทึกให้สมดุลกัน ก่อนที่มาสเตอร์ 3-ch นั้นจะถูกนำมามิกซ์ดาวน์ลงมาให้เหลือแค่ 2-ch สำหรับทำมาสเตอร์ตัดแผ่นเสียงสเตริโอชุดนี้ (ใครที่ต้องการฟังน้ำเสียงของเพลงนี้ในแบบออริจินัลเหมือนกันตอนที่ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ทำการบันทึกมันขึ้นมา ก็ขอให้รอดูข่าวว่าทางค่าย Mercury จะเอาเพลงนี้ไปทำเป็นแผ่น SACD ออกมาเมื่อไร?)
แผ่นเสียงชุดนี้เป็นเวอร์ชั่นทำขึ้นมาใหม่ (reissue) โดยสังกัด Speakers Corner โดยใช้ภาพปกและตราวงกลมตามแบบดั้งเดิมทุกอย่าง เนื้อแผ่นหนา 180gm ซองแผ่นเป็นกระดาษแข็งชั้นเดียว ส่วนแผ่นแท้ของ Mercury นั้นปัจจุบันคงจะมีอายุมากแล้ว เพราะงานชิ้นนี้บันทึกเสียงมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 1958 ตัวแผ่นเสียงที่ออกมาจำหน่ายล็อตแรกก็ไม่น่าจะเกินปี 1959 ซึ่งก็มีอายุเกินสี่สิบปีขึ้นไปแล้ว ผมเองก็ยังไม่เคยได้ฟังแผ่นออริจินัลมาก่อน (แผ่นเสียงชุดนี้ติดอยู่ในชาร์ต Super Disc ของ HP ด้วย) แต่หากเทียบจากคุณภาพเสียงที่ได้จากเวอร์ชั่นของ Speakers Corner นี้ก็เชื่อว่าแผ่นออริจินัลน่าจะให้เสียงที่ดีมากๆ (หากไม่มีเสียงสแค็ชนะครับ)

............................................................................

1 ความคิดเห็น: